Frequently Asked Questions
ตอบ ยอดขายของบริษัทสำหรับรอบระยะเวลาการดำเนินงาน 9M/2568 สามารถแบ่งตามประเภทผลิตภัณฑ์ ตามช่องทางการจำหน่าย และประเภทธุรกิจ ดังนี้



ตอบ ในรอบ 9M/2568 ต้นทุนวัตถุดิบคิดเป็นประมาณ 50.0% ของต้นทุนขายรวม (COGS) ของบริษัทฯ โดยวัตถุดิบหลักของบริษัทฯ ได้แก่ น้ำมันเนย/ไขมันนม ชีส น้ำมันปาล์ม แป้งสาลี นมผง และน้ำตาล เป็นต้น
ภาพรวมราคาต้นทุนวัตถุดิบเฉลี่ยในรอบ 9M/2568 เพิ่มขึ้นค่อนประมาณ 8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยราคาต้นทุนวัตถุดิบเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ราคาเริ่มมีทิศทางทรงตัวตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงไตรมาส 3/2568 และมีแนวโน้มทรงตัวต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2568
ทั้งนี้ ในไตรมาส 3/2568 บริษัทฯ ได้หยุดสายการผลิตเนยชั่วคราวเป็นระยะเวลา 1 เดือน เพื่อดำเนินการในเฟสสุดท้ายของโครงการปรับปรุงกระบวนการผลิตและขยายกำลังการผลิต ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ โดยปัจจุบัน สายการผลิตดังกล่าวกลับมาดำเนินงานตามปกติแล้ว และมีการทยอยเพิ่มระดับการผลิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ประสิทธิภาพการผลิตเนยปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/2568 เป็นต้นไป
ตอบ Butter Oil เป็นหนึ่งในรายการวัตถุดิบหลักของบริษัทฯ โดยต้นทุน Butter Oil ในรอบ 9M/2568 คิดเป็นสัดส่วนต้นทุนประมาณ 14.6% ของต้นทุนขายรวม (COGS) ของบริษัทฯ ทั้งนี้ แม้ราคา Butter Oil ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากครึ่งหลังของปี 2567 แต่ราคาเริ่มค่อยๆ ทรงตัวในไตรมาส 2/2568 และมีแนวโน้มทรงตัวต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2568 ในขณะที่รายการวัตถุดิบหลักบางรายการมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น และบางรายการมีแนวโน้มปรับลดลง ส่งผลให้ภาพรวมราคาต้นทุนวัตถุดิบเฉลี่ยมีแนวโน้มค่อนข้างทรงตัวไปจนถึงสิ้นปี 2568
ตอบ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (%SG&A to Sales) ในรอบ 9M/2568 ของบริษัทฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายที่เติบโตได้ดี การพัฒนาการทำงานและการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงมีปัจจัยสนับสนุนจากศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า KCG Logistics Park และ Solar Rooftop ที่ใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 เป็นต้นมา และมีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่องในไตรมาส 4/2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลขายที่มียอดขายรายไตรมาสสูงสุดของปี โดยเป็นผลจากความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิผลอย่างสม่ำเสมอ
ตอบ บริษัทฯ มีการใช้จ่ายเงินสกุลต่างประเทศ ประมาณ 50% ของต้นทุนขายรวม (COGS) อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนอย่างระมัดระวัง และมีการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอตราแลกเปลี่ยนโดยการซื้อสกุลงินต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract) รวมถึงมีบัญชีเงินฝากสกุลเงินตราต่างประเทศ (Foreign Currency Deposit หรือ FCD) ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของอ้ตราแลกเปลี่ยน
ตอบ บริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์และแบรนด์ที่แข็งแกร่งซึ่งเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี และได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมาอย่างยาวนาน รวมถึงมีห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ที่มีความยืดหยุ่น ส่งผลให้สามารถสามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้ก้บลูกค้า และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว โดยมีองค์ประกอบต่างๆ ด้งนี้
- มีโรงงานผลิตที่ได้การรับรองคุณภาพและมาตรฐานต่างๆ ของอุตสาหกรรมอาหารที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เช่น GHP (Good Hygiene Practice), HACCP, ISO9001 : 2015, ฮาลาล และฮาลคิว
- มีช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลายครอบคลุมทั่วประเทศไทย ทั้งช่องทางการขายให้ผู้ประกอบการ (B2B) ช่องทางการขายให้ผู้บริโภค (B2C) ช่องทางออนไลน์ รวมถึงการส่งออกไปถึง 15 ประเทศ
- มีระบบการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงมีระบบการขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งมีความสำคัญมากสำหรับการรักษาความสดใหม่และคุณภาพของผลิตภัณฑ์
- มีความเป็นเลิศทางด้านนวัตกรรม โดยมีศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม KCG Excellence Center สำหรับการศึกษาค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมถึงความพร้อมด้านห้องปฏิบัติการ อุปกรณ์และเทคโนโลยีต่างๆ ตลอดจนบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เช่น หน่วยงาน RDI (หน่วยงานวิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม หรือ Research Development and Innovation)/ Professional Chef ของบริษัทฯ ที่ช่วยพัฒนาสูตรอาหารที่มาพร้อมความอร่อย/ หน่วยงานขายและการตลาดที่เข้าใจความต้องการลูกค้า ซึ่งช่วยให้บริษัทฯ มีความพร้อมในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าทั้ง B2C และ B2B ได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีความสามารถในการสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ ที่ทันต่อกระแสความนิยมของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ความสามารถให้บริการลูกค้า B2B ได้แบบครบวงจร (Solution Provider) ซึ่งเริ่มตั้งแต่การคิดเมนูและพัฒนาสูตรการผลิตให้กับลูกค้าแต่ละราย การปรับสูตรการผลิตและควบคุมการผลิตให้มีคุณภาพในระดับอุตสาหกรรม ตลอดจนการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตอย่างประสิทธิภาพ
ตอบ บริษัทฯ เป็นผู้นำตลาดในกลุ่มสินค้าทั้งประเภทเนยและชีส โดยผลิตภัณฑ์เนยและสเปรด (Butter and Spreads) มีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 อยู่ที่ 46.5% ผลิตภัณฑ์ชีส (Cheese) มีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 อยู่ที่ 38.9% สำหรับผลิตภัณฑ์บิสกิตหวาน (Sweet Biscuits) มีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 4 อยู่ที่ 6.1%

ตอบ ข้อมูลส่วนแบ่งตลาดที่บริษัทฯ เคยแสดงไว้ในปี 2564 เป็นรายงานที่มีการจัดทำแบบเฉพาะเจาะจงโดย Euromonitor International (Custom Report) โดยครอบคลุมทั้งตลาด B2B และ B2C ในขณะที่ส่วนแบ่งตลาดในปี 2568 ครอบคลุมเฉพาะตลาด B2C เท่านั้น รวมถึงการจัดหมวดหมู่สินค้ามีความแตกต่างกัน เช่น ในปี 2564 แสดงข้อมูลของเฉพาะตลาด Butter แต่ในปี 2568 แสดงข้อมูลตลาด Butter and Spreads ในขณะที่ Biscuits ในปี 2564 เป็นข้อมูลตลาด Plain Biscuits (ซึ่งเป็นหมวดย่อยของ Sweet Biscuits) แต่ในปี 2568 เป็นข้อมูลตลาด Sweet Biscuits
ตอบ ภายใต้ FTA ทำให้อัตราภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมจากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ได้ทยอยเป็นศูนย์มาหลายปีแล้ว โดยรายการที่เหลือกลุ่มสุดท้าย ได้แก่ นมสดพร้อมดื่ม นมผงขาดมันเนย และวิปปิ้งครีม มีอัตราภาษีเป็นศูนย์ครบทุกรายการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ซึ่งภาพรวมเป็นประโยชน์สำหรับบริษัทฯ มากกว่า โดยบริษัทฯ อาจปรับเปลี่ยนสินค้าบางรายการที่ผลิตเองมาเป็นนำเข้าได้ในอนาคต ถ้าต้นทุนจากการนำเข้าถูกกว่าการผลิตเอง
สำหรับการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA) ไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Association: EFTA) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ คือ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์) คาดว่าน่าจะใช้เวลาอีกประมาณอย่างน้อย 3-5 ปี อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ประเมินว่า FTA กับยุโรป จะไม่ทำให้บริษัทฯ อยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบแต่อย่างใด เนื่องจากบริษัทฯ ได้มีการเตรียมพร้อมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากวัตถุดิบจากทางยุโรปไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยรสชาติของผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบจากยุโรปจะมีความแตกต่างจากวัตถุดิบจากทางออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ รวมถึงบริษัทฯ สามารถนำเข้าผลิตภัณฑ์จากยูโรปมาจำหน่ายเพิ่มขึ้นจากที่มีอยู่อยู่แล้วในปัจจุบันได้เช่นกัน
ตอบ นอกเหนือจากผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ บริษัทฯ ประเมินว่า อาจจะเกิดภาวะ Oversupply สินค้า Dairy Products ในสหรัฐอเมริกา และอาจจะมี Demand เพิ่มขึ้นทางฝั่ง Oceania รวมถึงตลาดอาจมีความปั่นป่วนในบางช่วงเวลา
ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกาได้กำหนดอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) สำหรับสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 19% โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศอื่นในภูมิภาค จึงมีการคาดการณ์ว่าประเทศไทยจะยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ได้ ทั้งนี้ แม้ยังมีความไม่แน่นอนจาก Reciprocal Tariffs แต่คาดว่าผลกระทบต่อบริษัทฯ จะค่อนข้างจำกัด เนื่องจากบริษัทฯ ไม่มีการส่งออกสินค้าไปที่สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีโอกาสในการนำเข้าวัตถุดิบหรือสินค้าสำเร็จรูปจากสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น ในกรณีที่อัตราภาษีนำเข้าลดลงจนต้นทุนการนำเข้ามีความเหมาะสม ซึ่งจะช่วยเพิ่มทางเลือกในการจัดหาวัตถุดิบและสินค้าที่สามารถแข่งขันในตลาดได้มากขึ้น นอกจากนี้ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการ Reciprocal Tariffs ของสหรัฐอเมริกา บริษัทฯ ได้ทยอยสั่งซื้อวัตถุดิบบางส่วนล่วงหน้าสำหรับการผลิตจนถึงปลายปีแล้ว