สภาพภูมิอากาศ และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
บริษัทฯ ได้ตระหนักถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อสิ่งแวดล้อม สังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลกระทบที่มีต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บริษัทฯ จึงได้ดำเนินการวิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาสของการเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และบริหารจัดการให้การดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัท และของประเทศไทย
แนวทางการบริหารจัดการ
บริษัทฯ จัดตั้งคณะทำงานด้านความยั่งยืนและนวัตกรรมองค์กร (Sustainability Development and Innovation Working Team) ที่ดูแลการบริหารงานความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคม และด้านธรรมาภิบาล รวมทั้งดูแลสภาพภูมิอากาศ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงาน และทรัพยากร กำหนดเป้าหมายและแผนงานในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผลักดันการดำเนินการต่างๆ เพื่อจัดการ ให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นไปตามนโยบายและเป้าหมายที่บริษัทกำหนด นอกจากนี้ยังมีคณะทำงานการจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์ระดับองค์กร เพื่อจัดทำข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint of Organization: CFO) เพื่อส่งขอการรับรองจากองค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เป็นประจำทุกปี
การเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
บริษัทฯ มีการจัดทำข้อมูลเพื่อประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท่องค์กรของโรงงานเทพารักษ์ โรงงานบางพลี สำนักงานใหญ่ สาขาบางนา ศูนย์กระจายสินค้าเชียงใหม่ ขอนแก่น และสุราษฎร์ธานี ซึ่งเก็บข้อมูลครอบคลุมกิจกรรมทั้ง 3 ขอบเขต ตามข้อกำหนดของการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกองค์กร จากนั้นนำข้อมูลเข้าสู่กระบวนการประเมินและทวนสอบความถูกต้องของข้อมูลโดยผู้ทวนสอบ ที่ได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ Thailand Greenhouse Gas Management Organization Public Organization ก่อนการเผยแพร่ข้อมูลการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นกิจกรรมที่องค์กรจะดำเนินการต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีแยกตามรายสาขา ตั้งแต่ปี 2565 บริษัทฯ ยังได้รับการอนุญาตให้ใช้ เครื่องหมายรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint of Organization: CFO) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก และจะมีการต่ออายุเครื่องหมายรับรองทุกปีทั้งนี้
ในปี 2567 บริษัทฯ ได้จัดทำบัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมทุกสาขาเข้าเป็นหนึ่งบัญชีเพื่อให้สะท้อนการดำเนินงานและกิจกรรมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ถูกต้องและไม่มีการนับซ้ำซ้อนสำหรับกิจกรรมภายในองค์กรที่เป็นระหว่างสาขา และได้รับการทวนสอบข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจาก บริษัท วี กรีน เคยู จำกัด
การตั้งเป้าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
การตั้งเบ้าหมายเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากปีฐานซึ่งทางองค์กรได้ดำเนินการตามแนวทางของ Science Based Targets initiative (SBTi) โดยใช้ SBTi Tool ตั้งเป้าหมายเฉพาะในส่วนของขอบเขต 1, 2 และ 3 ในระยะสั้นและระยะยาว และวางแผน Net Zero Action เพื่อรองรับการเป้าหมายที่กำหนดไว้ทั้งระยะสั้น และระยะยาว ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

แผนระยะสั้น:
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขอบเขตที่ 1 และ 2 ลง 10% ในปี 2568 จากปี 2567 ซึ่งตั้งเป็นปีฐาน
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขอบเขตที่ 1 และ 2 ลง 20% กับขอบเขตที่ 3 ลง 15% ในปี 2570 จากปี 2567 ซึ่งตั้งเป็นปีฐาน
แผนระยะยาว:
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็น Net Zero ในปี 2593 จากปี 2567 ซึ่งตั้งเป็นปีฐาน
ทั้งนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการวางแผนในการดำเนินงานมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero (Net Zero Target and Roadmap) ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเป้าหมายในปี 2568 บริษัทฯ ได้วางแผนในการจัดการด้านพลังงานและการจัดการของเสีย เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 1 และ 2 (Scope 1&2) ซึ่งเป็นการลดจากภายในบริษัทฯ ลดลง 10% จากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปีฐาน 2567 และหาแนวทางในการลดก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 3 ซึ่งต้องพัฒนาความร่วมมือกับคู่ค้าในห่วงโซ่คุณค่าต่อไป
การประเมินความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (Climate change risk management)
บริษัทฯ ประเมินความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ โดยศึกษาแนวทางของ Task Force on Climate-Related Financial Disclosures (TCFD) เพื่อใช้ในการระบุและประเมินผลกระทบเกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศต่อการดำเนินงานให้รอบด้าน ครอบคลุมความเสี่ยงและโอกาสจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งในเชิงกายภาพ (Physical Risk) จากด้านภัยธรรมชาติที่รุนแรง เช่น น้ำท่วมฉับพลัน โรคติดต่อทั้งในพืชและสัตว์ พายุหรือระเบิดฝน (Rain bomb) ภัยแบบเรื้อรัง อาทิ ภัยแล้งที่ทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำจืดในพื้นที่การเกษตรหรือการทำปศุสัตว์ อาจทำให้เกิดการขาดแคลนวัตถุดิบหลัก ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัท ที่ทำให้เกิดการหยุดชะงักของธุรกิจทั้งด้านการผลิตและการขนส่ง รวมถึงแนวโน้มต้นทุนการผลิตของวัตถุดิบการเกษตรที่สูงขึ้น สำหรับความเสี่ยงการเปลี่ยนผ่าน (Transition Risk) อาทิ นโยบายรัฐและกฎด้านราคาคาร์บอน การเปิดเผย ข้อมูลผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ความเสี่ยงด้านชื่อเสียงหากไม่สามารถดำเนินการได้ตามที่ตั้งเป้าหมาย ในขณะเดียวกัน มีโอกาสในการพัฒนาสินค้าและแพคเกจจิ้งด้วยนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งบริษัทฯ ได้นำความเสี่ยงดังกล่าวเพื่อจัดทำมาตรการ รับมือและแผนรับมือที่เหมาะสมในอนาคตต่อไป

การจัดการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ผลการดำเนินงาน
ในปี 2567 บริษัทฯ มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 1 และ 2 เท่ากับ 21,094 tCO2eq และปริมาณการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกรวม (Scope 1, 2, และ 3) เท่ากับ 106,835 tCO2eq โดยเพิ่มจากปี 2566 คิดเป็น 20.9% และ 10.1% ตามลำดับ ทั้งนี้เนื่องมาจากการเปิดดำเนินการของ KCG Logistics Park ที่เป็นทั้งศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าที่ทดแทนการเช่าคลังสินค้าภายนอก ทำให้ปริมาณการใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้นจากปีก่อน อีกทั้งมีการใช้พลังงานในการริโนเวทโรงงานเทพารักษ์ ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบกับกำลังการผลิตพบว่ามีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยการผลิตเท่ากับ 2.71 เพิ่มขึ้น 0.9% จากปีก่อน การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุดของบริษัทฯ มาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากขอบเขตที่ 3 อย่างมีนัยสำคัญคิดเป็น 80% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด

ภาพรวมการดำเนินงานจาก Green Logistics
บริษัทฯ ได้ดำเนินแผนงานด้านสิ่งแวดล้อมและการบริหารห่วงโซ่อุปทาน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร ผ่านการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานทดแทน โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์และการจัดการห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะด้านการขนส่งและจัดเก็บตามแนวคิด Green Logistics เพื่อสอดรับกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการพลังงานเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก โดยมีโครงการดังนี้
ทยอยเปลี่ยนเป็นรถยกไฟฟ้าแทนรถยกรูปแบบเดิมที่เป็นรถยกน้ำมัน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้รถยกไฟฟ้าไม่ก่อให้เกิดควันหรือไอเสียอันจะเป็นการช่วยลดมลพิษทางอากาศแล้ว และยังเพิ่มความปลอดภัยจากการใช้งานให้กับพนักงาน เนื่องจากไม่ต้องเก็บสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงอันเป็นวัตถุไวไฟที่อาจเป็นต้นเหตุของเพลิงไหม้ได้
เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟแอลอีดี (LED) แทนหลอดรุ่นเก่าใน KCG LOGISTICS PARK รวมถึงคลังสินค้า และ ศูนย์กระจายสินค้าต่างจังหวัด
ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาใน KCG LOGISTICS PARK และ ศูนย์กระจายสินค้าต่างจังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี และขอนแก่น

การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
บริษัทฯ ดำเนินการเพิ่มสัดส่วนของบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยังคงคุณภาพของสินค้า โดยปรับเปลี่ยนประเภทของวัสดุบรรจุภัณฑ์ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น การปรับเปลี่ยนวัสดุพลาสติกที่ย่อยสลาย ทำลายยาก ให้เป็นประเภทที่ย่อยสลาย ทำลายง่ายขึ้น หรือวัสดุที่สามารถนำมารีไซเคิลได้ การลดปริมาณการใช้วัสดุให้น้อยลง เช่น การปรับลดขนาดและคุณลักษณะของกล่องกระดาษให้เหมาะสม ปกป้องผลิตภัณฑ์ได้อย่างสมบูรณ์ระหว่างการขนส่ง โครงการศึกษาและปรับลดความหนาของเหล็กของบรรจุภัณฑ์ประเภทกระป๋องลง บริษัทฯ มีแผนในการปรับบรรจุภัณฑ์กลุ่มฟิลม์พลาสติก ให้เป็นพลาสติกประเภทเดียว (Mono Material) ที่สามารถคัดแยกและเข้าสู่กระบวนการริไซเคิลได้ง่ายขึ้น โดยมีแผนสื่อสารสัญลักษณ์การ Recycle ผ่านบรรจุภัณฑ์ โดยปัจจุบันมีบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาริไซเคิลได้ ถึง กว่า 61% ของบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดที่ใช้กับสินค้าของบริษัท
ข้อมูลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน ปี 2567 - สรุปผลการดำเนินงานสิ่งแวดล้อม