KCG โชว์ฟอร์มทำผลงานครึ่งปีแรก มีกำไรสุทธิ 109.2 ล้านบาท เติบโต 41.6% เดินหน้าเพิ่มการผลิต รับไฮซีซั่นหนุนอุตสาหกรรมคึกคัก มั่นใจรายได้ตามเป้าหมาย

'บมจ.เคซีจี คอร์ปอเรชั่น' หรือ KCG โชว์ฟอร์มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2566 ทำกำไรสุทธิ 50.8 ล้านบาท เติบโต 13.0% และมีรายได้รวม 1,570.7 ล้านบาท เติบโต 13.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2566 ทำรายได้รวม 3,293.9 ล้านบาท เติบโต 22.1% และทำกำไรสุทธิ 109.2 ล้านบาท เติบโต 41.6% ปลื้มยอดขายโตทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์และทุกช่องทางการจำหน่าย หลังดีมานด์ผลิตภัณฑ์อาหารตะวันตกและเบเกอรี่ทั้งกลุ่มผู้บริโภคและกลุ่มผู้ประกอบการขยายตัว เร่งขยายกำลังการผลิต เปิดตัวผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ มั่นใจผลการดำเนินงานปี 2566 เติบโตตามแผน

ดร.วาทิต ตมะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG ผู้นำธุรกิจผลิต จัดจำหน่าย และนำเข้าเนย ชีส และผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคชั้นนำจากทั่วโลก เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 2/2566 (เมษายน-มิถุนายน) เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม 1,570.7 ล้านบาท เติบโต 13.9% และทำกำไรสุทธิ 50.8 ล้านบาท เติบโต 13.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารตะวันตกและเบเกอรี่ของกลุ่มผู้บริโภค (B2C) และกลุ่มผู้ประกอบการ (B2B) เติบโตได้ดี รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบสนองกับเทรนด์ผู้บริโภคซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี และการรับรู้ยอดขายอาหารแช่แข็ง ของบริษัท อินโดกูนา (ประเทศไทย) จำกัด หรือ IDG ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ เข้าซื้อในเดือนมีนาคม 2565

ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ (มกราคม-มิถุนายน) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 109.2 ล้านบาท เติบโต 41.6% และมีรายได้รวมอยู่ที่ 3,293.9 ล้านบาท เติบโต 22.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยเป็นรายได้จากการขาย 3,268.9 ล้านบาท เติบโต 23.2% ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ แบ่งเป็น ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมมีรายได้อยู่ที่ 1,941.9 ล้านบาท เติบโต 22.0% ผลิตภัณฑ์สำหรับการประกอบอาหารและเบเกอรี่ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ มีรายได้อยู่ที่ 994.1 ล้านบาท เติบโต 25.0% และผลิตภัณฑ์บิสกิตมีรายได้อยู่ที่ 333.0 ล้านบาท เติบโต 25.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา รวมทั้งทุกช่องทางการจำหน่ายยังเติบโตต่อเนื่อง โดยช่องทางการขายให้แก่ผู้ประกอบการ (B2B) มีรายได้อยู่ที่ 1,340.0 ล้านบาท เติบโต 22.7% ช่องทางการขายให้ผู้บริโภค (B2C) มีรายได้อยู่ที่ 1,786.8 ล้านบาท เติบโต 23.6% และการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศมีรายได้อยู่ที่ 142.1 ล้านบาท เติบโต 22.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 2/2566 เริ่มปรับตัวดีขึ้น จากทิศทางราคาต้นทุนวัตถุดิบ ไขมันนม ชีสและนมผง รวมถึงต้นทุนสินค้าที่นำเข้ามาจำหน่ายเริ่มทรงตัวและปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับบริษัทฯ ได้ทยอยใช้วัตถุดิบและสินค้าที่มีต้นทุนสูงไปเกือบหมดแล้ว อีกทั้งในครึ่งปีหลังจะเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลขายของบริษัทฯ โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ซึ่งบริษัทฯ จะเพิ่มการใช้กำลังการผลิตกลุ่มเนยและชีส กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับการประกอบอาหารและเบเกอรี่ รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์บิสกิตอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) มากขึ้น จึงเชื่อมั่นว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง

ดร.วาทิต กล่าวว่า ในส่วนแผนงานครึ่งปีหลัง บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ ทั้งกลุ่มเนยและชีส กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับการประกอบอาหารและเบเกอรี่ รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์บิสกิต เพื่อสร้างดีมานด์ใหม่ๆ ให้กับตลาด และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั้งด้านสุขภาพ ความสะดวกสบาย และสร้างความรื่นรมย์ในรสชาติให้กับทุกมื้ออาหาร ซึ่งคาดการณ์ว่าภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารตะวันตกและเบเกอรี่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลขายสินค้า จึงมั่นใจว่าผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2566 จะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย